เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2566 ได้มีการโหวตนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน เห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 และงดออกเสียง 199 คน มีส.ว.จำนวนประมาณ 159 ที่งดออกเสียงในการโหวตครั้งนี้ ทำให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีก็ไม่ยังเอกฉันท์ ต้องมีการโหวตอีกครั้ง ซึ่งส.ว.จากการโหวตครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็ได้ใช่สิทธิงดออกเสียง หมายความถึงการที่ไม่ออกเสียงหรืองดการแสดงความเห็น และในบางกรณีที่สมาชิกสภาอาจจะยังไม่ตัดสินใจหรือหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ก็สามารถใช้สิทธิ งดเว้นการออกเสียงได้ ถือเป็นสิทธิของสมาชิกสภาที่สามารถทำได้ เพราะไม่ขัดข้องข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2562 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 แล้วแต่กรณี
แม้จะเป็นสิทธิตามข้อบังคับดังกล่าว แต่ในช่วงระยะเวลาที่พวกเขามีเวลาตัดสินใจในการโหวตเลือกเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ก็ประมาณเกือบ 3 เดือนหลังจากเลือกตั้ง นั้นก็อาจถือเป็นการทำงานอย่างไม่พึงประสงค์หรือเปล่า โดยอำนาจหน้าที่ของสว.แต่เดิมมีไว้เพื่อกลั่นกรองกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน หรืออำนาจในการพิจารณา แต่งตั้ง ให้คำแนะนำในการเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งต่างๆ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้เพิ่มอำนาจให้สามารถให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระได้ด้วย รวมถึงอำนาจในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. ทำให้หน้าที่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็อาจถูกมองว่า ส.ว.มีไว้เพื่อถ่วงดุลอำนาจหรือเพียงแค่ปกป้องอำนาจเก่าของกลุ่มตัวเอง
นอกจากนี้ส.ว. 1 คน ได้รับเงินเดือนรวม 113,560 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังต้องมีผู้เชี่ยวชาญประจำตัว 1 อัตรา 24,000 บาทต่อเดือน ผู้ชำนาญการประจำตัว 2 อัตรา 30,000 บาทต่อเดือน และผู้ช่วยดำเนินการประจำตัว 5 อัตรา 75,000 บาทต่อเดือน ทำให้เมื่อรวมกันก็เป็น 242,560 ต่อเดือน หรือ 2,910,720 บาทต่อปี เมื่อรวมกับสวัสดิการสำหรับ ส.ว. 1 คน ก็อาจต้องมีค่าใช้จ่ายราว 4,512,720 บาทต่อปี ทำให้งบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายสำหรับ ส.ว. 250 คน ก็ต้องใช้งบกว่าพันล้านใน 1 ปีเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่าผลการโหวตเมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2562 หรือ พ.ศ.2566 ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของส.ว.ที่ไม่คุ้มกับงบประมาณที่จ่ายให้หรือเปล่า และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ เพราะหากเราไปดูกระบวนการการเลือก ส.ว.ทั้ง 250 คน ที่มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี มาจาก 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ส.ว. โดยตำแหน่งทั้งหมด 6 คน ได้แก่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
กลุ่มที่ 2 มาจากคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา คัดเลือกผู้มีความเหมาะสม จำนวน 400 คน หลังจากก็จะเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เลือกในขั้นตอนสุดท้ายเหลือ 194 คน
กลุ่มที่ 3 มาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เปิดรับสมัครตัวแทนจาก 10 กลุ่มอาชีพที่กำหนดจากทั่วประเทศ โหวตเลือกกันเองจนเหลือ 200 คน แล้วส่งไปให้ คสช. เลือกในขั้นตอนสุดท้ายเหลือ 50 คน
จากกระบวนการคัดเลือกดังกล่าวก็ล้วนแล้วต้องผ่าน คสช. ซึ่งก็เป็นกลุ่มของรัฐบาลเก่า ทำให้ความเคลือบแคลงใจของประชาชนที่มีต่อส.ว.ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นว่า ตกลงแล้วส.ว.ใช้สิทธิ การงดออกเสียง เพื่อตัดสินใจอย่างชาญฉลาด มีวุฒิภาวะ และเคารพเสียงส่วนมาก เพื่อผลประโยชน์ของประเทศหรือเพียงแค่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนเพียงเท่านั้น
อ้างอิงข้อมูลจาก
Comments