นับเป็นเวลา 2 เดือนกว่าแล้วที่ประเทศไทยยังไม่มีนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งได้มีการนับผลคะแนนและรู้ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการออกมาเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนก็อาจจะสงสัยว่ารู้ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการแล้วขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไรต่อ ถึงจะทราบว่าใครคือนายกคนที่ 30 ของประเทศไทย
ชวนอ่านไทม์ไลน์และขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไปด้วยกัน !
1. กกต. ต้องรับรองผลเลือกตั้งไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง : เท่ากับว่า กกต. มีเวลาประกาศรับรองผลจนถึง 13 กรกฎาคม ทั้งนี้ หากตรวจสอบแล้วพบว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 95% ของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ก็ต้องประกาศผลเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อรับรอบผลการเลือกตั้ง และรับรองการเป็น ส.ส.
2. เรียกประชุมรัฐสภาภายใน 15 วันเพื่อเลือกประธานสภาฯ : กฎหมายกำหนดว่า หลังรับรองผลการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ต้องเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้ประชุมเป็นครั้งแรก และเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรภายใน 15 วัน มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการเรียกประชุมสภาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จากนั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาถัดไป
3. ประธานสภานัดประชุมรัฐสภาเลือกนายกฯ : ส.ส. 500 คน และ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน จะมาโหวตเลือกนายกฯ กติการะบุว่า ต้องได้เสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่ง หรือก็คือไม่น้อยกว่า 376 เสียง จึงจะได้รับเลือกเป็นนายกฯ ก่อนจะโปรดเกล้าฯ ต่อไป มีการคาดการณ์ว่าอาจเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม
4. นายกฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี : ตั้งฝ่ายบริหารชุดใหม่ ก่อนนำชื่อคณะรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ และพา ครม. ชุดใหม่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาล ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง มีการคาดการณ์ว่าเราอาจได้รัฐบาลใหม่ราวเดือนสิงหาคม 2566
โดยในช่วงระหว่างที่เรารอรัฐบาลชุดใหม่ รัฐบาลเดิมจะดำรงตำแหน่งรักษาการชั่วคราวไปก่อน อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการเลือกนายกฯ และตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไว้ ซึ่งระหว่างนั้นรัฐบาลชุดเดิมจะรักษาการจนกว่าจะได้ ครม. ใหม่
กลับมาที่ปัจจุบันตอนนี้ขั้นตอนของการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือ การประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี โดยการประชุมโหวตนายกของวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมาเป็นการประชุมโหวตนายกรอบที่ 2 โดยการโหวตรอบแรก มีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับเสียงสนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ทำให้ต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันอีกรอบ
และการโหวตรอบที่สอง ที่ประชุมเห็นชอบมติเสนอชื่อพิธาซ้ำไม่ได้ เนื่องจากถือเป็นญัตติ ด้วยคะแนน 395 เสียง ไม่เห็นด้วย 312 เสียง งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ซึ่งมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 374 เสียง
ดังนั้นจากการโหวตรอบที่ 2 ที่ไม่ผ่าน ทำให้ต้องมีการโหวตนายกรอบที่ 3 เกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจากการเลือกตั้งครั้งนี้ได้มีประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกนายกเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนทุกคนต้องการเห็นนายกที่มาจากการเลือกตั้งที่ได้คะแนนเสียงมากสุดโดยได้คะแนนเสียงจากประชาชน 14 ล้านเสียง และต้องการเห็นการทำงานของนายกที่ประชาชนได้เลือกมาเองกับมือ
ถ้าหากนายกที่ได้มา ไม่เป็นไปตามผลการเลือกตั้งที่มาจากคะแนนเสียงมากที่สุด ประชาชนก็อาจตั้งคำถามได้ว่า เราจะไปเลือกตั้งกันทำไม ในเมื่อเราเลือกไปแล้วกลับไม่ใช่คนที่เราเลือก ประชาธิปไตยเป็นคำที่ศักดิ์สิทธ์หรือเป็นเพียงแค่ตัวหนังสือ…
Comments