ในปัจจุบันหากจะทำสัญญาเงินกู้ หรือขอสินเชื่อต่าง ๆ สถาบันการเงินบางแห่ง ต้องการเพิ่มความมั่นใจในตัวลูกหนี้มากขึ้น จึงกำหนดให้มี "ผู้ค้ำประกัน" เข้ามาค้ำประกันหนี้ที่ลูกหนี้ทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินนั้นๆ เพราะอย่างน้อยหากลูกหนี้ไม่จ่ายหนี้ก็ยังมีผู้ค้ำประกันคอยรับผิดชอบอยู่
เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปค้ำประกันให้กับใคร แม้จะเป็นญาติพี่น้อง หรือ คนรู้จักก็ตาม เราควรทำความเข้าใจกับเกี่ยวกับการค้ำประกันและกฎหมายคุ้มครองผู้ค้ำประกันอย่างละเอียดเสียก่อน
ผู้ค้ำประกัน คือ บุคคลที่ทำสัญญากับเจ้าหนี้ ว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะทำการชำระหนี้นั้นแทน ดังนั้นเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดแทนได้
ค้ำประกันอย่างไรให้ปลอดภัย
การตัดสินใจเลือกที่จะค้ำประกันให้ใครสักคน มีสิ่งที่ต้องคำนึง คือ
• คนที่จะค้ำประกันให้ ควรเป็นคนที่ไว้ใจได้ และมั่นใจในความสามารถการชำระหนี้ของคนนั้น
• อย่าไว้ใจค้ำประกันให้ใคร โดยไม่เช็คประวัติทางการเงิน เพราะคุณอาจจะถูกหลอกให้ค้ำประกันและรับผิดชอบหนี้แทนได้
• อ่านเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการค้ำประกันให้รอบคอบก่อนเซ็นชื่อ
• เช็กตัวเองให้ดีว่าตัวเองพร้อมรับความเสี่ยงในการเป็นหนี้หรือไม่ หากลูกหนี้หนีหาย
ขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกัน
1. ผู้ค้ำประกันจะรับผิดแทนลูกหนี้ ต่อเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ตามที่ตกลงในสัญญาเงินกู้เท่านั้น
2. หากเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ลูกหนี้เท่าไร ความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันก็ลดลงเท่านั้นเช่นกัน และถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ที่ลดลงไม่ครบถ้วน ผู้ค้ำประกันชำระส่วนที่เหลือ หรือถ้าลูกหนี้ไม่ชำระเลยแล้วผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามที่ลดลงครบถ้วน ผู้ค้ำประกันก็หลุดพ้นจากการค้ำประกัน
3. หากมีข้อตกลงในสัญญาค้ำประกันเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ค้ำประกันมากกว่าที่ระบุในข้อ 2. ข้อตกลงนั้นจะเป็นโมฆะ
4. ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิด เมื่อยื่นขอชำระหนี้ตามกำหนดเวลา แต่เจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับการชำระหนี้นั้น
5. ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด หากเจ้าหนี้ยอมขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วยในการขยายระยะเวลาดังกล่าว
กฎหมายคุ้มครองผู้ค้ำประกัน
บ่อยครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับผู้ค้ำประกันถูกเอาเปรียบจากผู้กู้ ถูกทิ้งให้ชดใช้หนี้สินแทน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ค้ำเป็นอย่างมากจึงส่งผลให้เกิด
“ กฎหมายค้ำประกันฉบับปรับปรุงใหม่ 2558 ” ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในส่วนของผู้ค้ำประกันที่แตกต่างจากกฎหมายฉบับเก่า ดังนี้
1. ผู้ค้ำประกันสามารถจำกัดวงเงินสูงสุดและระยะเวลาในการค้ำประกันได้ ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเซ็นค้ำประกันควรตกลงกับลูกหนี้เพื่อกำหนดเพดานชำระหนี้แทนให้ดี และเซ็นสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร
2. ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชอบมูลหนี้ทั้งหมดเหมือนกับลูกหนี้ทุกประการอีกต่อไป ซึ่งหมายถึง ผู้ค้ำประกันจะรับผิดชอบชำระหนี้แทนในส่วนของตนเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบดอกเบี้ย โดยหลังจากที่ผู้ค้ำประกันใช้หนี้แทนลูกหนี้แล้ว ก็สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ย โดยฟ้องลูกหนี้เรียกเงินตามจำนวนที่ชำระไปแทนพร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายอื่น ๆ ได้
3. ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้จะต้องทำหนังสือแจ้งผู้ค้ำประกันให้ทราบก่อนภายใน 60 วัน และห้ามไม่ให้เจ้าหนี้เรียกเอาหนี้กับผู้ค้ำประกันในทันที จนกว่าพยายามไล่เบี้ยหรือเรียกหนี้กับลูกหนี้จนสุดความสามารถแล้ว
จากที่กล่าวมาถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการคุ้มครองผู้ค้ำประกันแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เราจะค้ำประกันให้ใคร เราก็ควรที่จะไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนว่าลูกหนี้พร้อมจะเป็นหนี้และมีความสามารถในการชำระหนี้จนหมดไหม อีกทั้งเราก็ต้องถามตัวเองด้วยว่าเราพร้อมที่จะเสี่ยงเป็นหนี้โดยไม่ตั้งตัวหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็ตาม
มิฉะนั้นจากที่เราจะเป็นแค่ผู้ค้ำประกัน เราจะกลายเป็นผู้ค้ำน้ำตาที่ต้องมีหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
Comments