top of page

ค้ำประกัน ค้ำน้ำตา

รูปภาพนักเขียน: P.K. YanisaP.K. Yanisa

ในปัจจุบันหากจะทำสัญญาเงินกู้ หรือขอสินเชื่อต่าง ๆ สถาบันการเงินบางแห่ง ต้องการเพิ่มความมั่นใจในตัวลูกหนี้มากขึ้น จึงกำหนดให้มี "ผู้ค้ำประกัน" เข้ามาค้ำประกันหนี้ที่ลูกหนี้ทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินนั้นๆ เพราะอย่างน้อยหากลูกหนี้ไม่จ่ายหนี้ก็ยังมีผู้ค้ำประกันคอยรับผิดชอบอยู่

เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปค้ำประกันให้กับใคร แม้จะเป็นญาติพี่น้อง หรือ คนรู้จักก็ตาม เราควรทำความเข้าใจกับเกี่ยวกับการค้ำประกันและกฎหมายคุ้มครองผู้ค้ำประกันอย่างละเอียดเสียก่อน


ผู้ค้ำประกัน คือ บุคคลที่ทำสัญญากับเจ้าหนี้ ว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะทำการชำระหนี้นั้นแทน ดังนั้นเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดแทนได้



ค้ำประกันอย่างไรให้ปลอดภัย


การตัดสินใจเลือกที่จะค้ำประกันให้ใครสักคน มีสิ่งที่ต้องคำนึง คือ


• คนที่จะค้ำประกันให้ ควรเป็นคนที่ไว้ใจได้ และมั่นใจในความสามารถการชำระหนี้ของคนนั้น

• อย่าไว้ใจค้ำประกันให้ใคร โดยไม่เช็คประวัติทางการเงิน เพราะคุณอาจจะถูกหลอกให้ค้ำประกันและรับผิดชอบหนี้แทนได้

• อ่านเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการค้ำประกันให้รอบคอบก่อนเซ็นชื่อ


• เช็กตัวเองให้ดีว่าตัวเองพร้อมรับความเสี่ยงในการเป็นหนี้หรือไม่ หากลูกหนี้หนีหาย



ขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกัน


1. ผู้ค้ำประกันจะรับผิดแทนลูกหนี้ ต่อเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ตามที่ตกลงในสัญญาเงินกู้เท่านั้น

2. หากเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ลูกหนี้เท่าไร ความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันก็ลดลงเท่านั้นเช่นกัน และถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ที่ลดลงไม่ครบถ้วน ผู้ค้ำประกันชำระส่วนที่เหลือ หรือถ้าลูกหนี้ไม่ชำระเลยแล้วผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามที่ลดลงครบถ้วน ผู้ค้ำประกันก็หลุดพ้นจากการค้ำประกัน


3. หากมีข้อตกลงในสัญญาค้ำประกันเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ค้ำประกันมากกว่าที่ระบุในข้อ 2. ข้อตกลงนั้นจะเป็นโมฆะ

4. ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิด เมื่อยื่นขอชำระหนี้ตามกำหนดเวลา แต่เจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับการชำระหนี้นั้น

5. ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด หากเจ้าหนี้ยอมขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วยในการขยายระยะเวลาดังกล่าว



กฎหมายคุ้มครองผู้ค้ำประกัน


บ่อยครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับผู้ค้ำประกันถูกเอาเปรียบจากผู้กู้ ถูกทิ้งให้ชดใช้หนี้สินแทน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ค้ำเป็นอย่างมากจึงส่งผลให้เกิด

“ กฎหมายค้ำประกันฉบับปรับปรุงใหม่ 2558 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในส่วนของผู้ค้ำประกันที่แตกต่างจากกฎหมายฉบับเก่า ดังนี้


1. ผู้ค้ำประกันสามารถจำกัดวงเงินสูงสุดและระยะเวลาในการค้ำประกันได้ ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเซ็นค้ำประกันควรตกลงกับลูกหนี้เพื่อกำหนดเพดานชำระหนี้แทนให้ดี และเซ็นสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร


2. ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชอบมูลหนี้ทั้งหมดเหมือนกับลูกหนี้ทุกประการอีกต่อไป ซึ่งหมายถึง ผู้ค้ำประกันจะรับผิดชอบชำระหนี้แทนในส่วนของตนเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบดอกเบี้ย โดยหลังจากที่ผู้ค้ำประกันใช้หนี้แทนลูกหนี้แล้ว ก็สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ย โดยฟ้องลูกหนี้เรียกเงินตามจำนวนที่ชำระไปแทนพร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายอื่น ๆ ได้


3. ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้จะต้องทำหนังสือแจ้งผู้ค้ำประกันให้ทราบก่อนภายใน 60 วัน และห้ามไม่ให้เจ้าหนี้เรียกเอาหนี้กับผู้ค้ำประกันในทันที จนกว่าพยายามไล่เบี้ยหรือเรียกหนี้กับลูกหนี้จนสุดความสามารถแล้ว


จากที่กล่าวมาถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการคุ้มครองผู้ค้ำประกันแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เราจะค้ำประกันให้ใคร เราก็ควรที่จะไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนว่าลูกหนี้พร้อมจะเป็นหนี้และมีความสามารถในการชำระหนี้จนหมดไหม อีกทั้งเราก็ต้องถามตัวเองด้วยว่าเราพร้อมที่จะเสี่ยงเป็นหนี้โดยไม่ตั้งตัวหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็ตาม

มิฉะนั้นจากที่เราจะเป็นแค่ผู้ค้ำประกัน เราจะกลายเป็นผู้ค้ำน้ำตาที่ต้องมีหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ



ดู 17 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


ช่องทางการติดตาม (คลิกที่ไอคอนได้เลย)

  • TikTok
  • Line
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
เข้าร่วมไลน์กลุ่ม JB LAW CENTER

© Copyright JB LAW CENTER © 2023 All Rights Reserved

bottom of page