ทุกวันนี้เราก็จะเห็นคอนเทนต์จากครูตามสื่อโซเชียลมีเดีย ทั้งทำเพื่อความตลกขบขันหรือความสนุกสนาน แต่ในอีกมุมหนึ่ง อาจเกิดการคำถามที่ตามมาว่า ทำไมเด็กอาจต้องคอยเป็นตัวตลกให้ครูถ่าย เพื่อทำคอนเทนต์ลงสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ
แต่คอนเทนต์พวกนี้กลับกลายเป็นที่นิยมไปทั่วสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยการโพสต์จากครูที่ผู้ปกครองหลายคนไว้ใจให้ดูแลบุตรหลาน แต่กลับถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งสำหรับการถ่ายคลิปวิดีโอหรือทำคอนเทนต์เพื่อลงสื่อโซเชียลมีเดีย โดยอาจมีตัวอย่างการลงคอนเทนต์ เช่น พฤติกรรมนักเรียนเวลาอยู่ในห้องเรียน การทำพฤติกรรมของนักเรียนที่ครูอาจรู้สึกตลกขบขัน หลังจากนั้นก็จะมีหลายสื่อนำไปเขียนพาดหัวข่าวชวนขบขัน ทั้งที่ในความเป็นจริงความรู้สึกของเด็กอาจไม่ต้องการความขบขันหรือความสนุกสนานจากผู้ใหญ่ที่เข้ามาดู
ทำให้เราต้องลองมองย้อนกลับไปที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ กฎหมาย PDPA ว่า สามารถคุ้มครองความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัวของนักเรียนในโรงเรียนที่ควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย แต่จะปลอดภัยสำหรับเด็กนักเรียนได้จริงหรือไม่ โดยหากอ้างอิงตามกฎหมาย PDPA ครูสามารถถามถึงความยินยอม ได้ทั้งความยินยอมในการถ่ายภาพวิดีโอจากนักเรียน และความยินยอมในการเผยแพร่สื่อจากนักเรียน โดยต้องคำนึงถึงการเผยแพร่สื่อที่ไม่ใช่เพื่อผลทางการค้าหรือเชิงพาณิชย์ และไม่มีการระบุตัวตนของนักเรียนอย่างชัดเจน
ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมา อาจมีช่องว่างที่ครูจะสามารถใช้อำนาจภายในห้องเรียนในฐานะคุณครู ในการทำให้นักเรียนตอบตกลงตามความยินยอมดังกล่าว ทำให้โรงเรียนผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยภายในสถานศึกษา ก็ต้องเข้ามามีบทบาทควบคุมบุคลากรต่างๆ ในการสอดส่องความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลของนักเรียน และผู้ปกครองเองก็มีอำนาจในการให้ความยินยอมแก่สิทธิ์การถ่ายภาพหรือเผยแพร่สื่อต่างๆ โดยในกรณีนักเรียนยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรืออายุยังไม่ถึง 20 ปี ผู้ปกครองจะสามารถมีอำนาจในการให้ความยินยอม ตามมาตรา 20 ของกฎหมาย PDPA ทำให้สามารถช่วยปกป้องข้อมูลความเป็นส่วนตัวของนักเรียนได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
หากพูดถึงในกรณีที่คุณครูอาจได้คลิปนักเรียนจนดังมีผู้ติดตามหลายคน จนมีการถ่ายภาพหรือเผยแพร่สื่อเพื่อผลทางการค้าหรือเชิงพาณิชย์ เช่น การรีวิว การขายสินค้า แล้วนำนักเรียนมาเป็นส่วนหนึ่งในการขายสินค้าหรือรีวิวสินค้าต่างๆ จากกฎหมาย PDPA ครูอาจมีโทษปรับทางกฎหมายทั้งทางปกครอง ค่าปรับสูงสุด 5 ล้านบาท ผู้ถูกฟ้องละเมิดเป็นผู้จ่ายค่าปรับ ทางอาญาผู้ละเมิดอาจถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท และทางแพ่ง ผู้ละเมิดต้องชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็น 2 เท่าจากความเสียหายจริง ซึ่งนอกจากบทบาทของกฎหมายที่จะเข้ามาควบคุมดูแล โรงเรียนเองที่เป็นต้นสังกัดของครูที่เป็นผู้ควบคุมและดูแลความปลอดภัยของนักเรียนก็ต้องเข้ามาคอยตรวจสอบอยู่เสมอด้วย
โดยสรุปแม้ว่า จุดประสงค์จะทำขึ้นเพื่อความสนุกสนานหรือขบขัน แต่ในมุมของนักเรียนผู้ซึ่งเป็นผู้ถูกถ่ายหรือเผยแพร่ อาจไม่ได้ชอบใจมากนัก แต่ด้วยวุฒิภาวะหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่สามารถคัดค้านครูได้ ทำให้ผู้ปกครอง หรือโรงเรียน ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนปกป้องและดูแลข้อมูลส่วนตัวให้กับนักเรียนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่างๆ ก็ต้องเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ด้วย เพื่อจะทำให้นักเรียนไม่ต้องทนทุกข์กับความทรงจำที่อาจเป็นบาดแผลทางใจที่พวกเขาจำไม่ลืมในอนาคต
อ้างอิงข้อมูลจาก

Comentários