ถ้าจะถามว่า การกู้ยืมเงิน กับฉ้อโกง มีความเหมือนหรือความแตกต่างกันอย่างไร ผู้เขียนก็คงขอเริ่มต้นจากคำนิยามของมันได้ว่าเป็นการ “ได้เงินมาเหมือนกัน แต่รูปแบบการได้รับเงินมาแตกต่างกัน” ซึ่งทุก ๆ คนที่ได้อ่านอาจจะยังงงกับประโยคนี้ใช่มั้ยคะว่า ทำไมสำหรับผู้เขียนจึงได้ให้คำนิยามว่าเช่นนี้
งั้นเรามาเริ่มต้นเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันกับผู้เขียนกันเลยดีกว่าค่ะ
การกู้ยืมเงิน
การกู้ยืมเงินเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคู่กรณีเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ให้ยืม” และอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ยืม” ซึ่งสัญญายืมนั้น เป็นสัญญาที่ผู้ให้ยืมส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ยืมเพื่อใช้สอยทรัพย์สินนั้นและผู้ยืมก็ตกลงว่าจะส่งคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
ประเภทของสัญญายืม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.สัญญายืมใช้คงรูป
2.สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ซึ่งการกู้ยืมเงินนั้นจัดอยู่ในประเภทของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือ สัญญาที่ผู้ให้ยืมได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้แก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภทชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น และสัญญายืมนี้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม อีกทั้งสัญญากู้ยืมเงินยังเป็นสัญญาทางแพ่งประเภทหนึ่งที่มีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การฉ้อโกง
การฉ้อโกงเป็นอาชญากรรมที่มุ่งต่อทรัพย์สิน ซึ่งกระทำโดยเจตนาทุจริตและมีพฤติกรรมหลอกลวง และมีความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งผู้กระทำความผิดจะต้องมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้ชัดเจน และต้องมีเจตนานี้มาตั้งแต่ต้น โดยที่ผลของการหลอกลวงทำให้ผู้กระทำความผิดได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ที่ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
มาถึงจุดนี้ทุกคนอาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนเท่าไหร่ ผู้เขียนจึงจะขอยกตัวอย่าง การกู้ยืม กับ การฉ้อโกง ให้ผู้อ่านได้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างกู้ยืมเงิน
นายดำ ต้องการซื้อรถราคา 150,000 บาทแต่นายดำไม่มีเงิน นายดำจึงไปขอยืมเงินจากนายแดง โดยตกลงจะใช้คืนภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่กู้ยืม ดังนั้นเมื่อครบกำหนด 1 ปีแล้ว นายดำ (ผู้กู้)ต้องใช้เงินคืนให้แก่นายทองแดง
ตัวอย่างการฉ้อโกง
ก หลอกลวง ข ว่าเหล็กไหลสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ ข เป็นอยู่ให้หายได้ ซึ่งด้วยความเจ็บป่วยของ ข เป็นความอ่อนแอของจิต จึงถูกหลอกง่ายกว่าคนปกติ และหลงเชื่อเพราะความโง่เขลาเบาปัญญา
คำถาม
หากเกิดว่าคนที่กู้ยืมเงินเราไป แล้วไม่คืนเงิน เราสามารถไปฟ้องทางอาญาได้หรือมั้ย เพราะเหมือนเป็นการหลอกแล้วเอาเงินไป มีความตั้งใจคล้ายกับการฉ้อโกง
คำตอบ คำว่า โกง ทางอาญา หมายจึงเจตนาฉ้อโกงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินต่างๆ โดยใช้อุบายหลอกลวง ใช้เอกสารสัญญา อุบาย พูดจาหว่านล้อมให้หลงเชื่อ ซึ่งจะแตกต่างกับ ผิดสัญญาทางแพ่ง กล่าวคือ เจตนาแรก คู่สัญญาไม่มีเจตนาจะโกงกัน เพียงภายหลังไม่ปฎิบัติตามสัญญา ผิดนัด จ่ายไม่ครบ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งต้องพิเคราะห์ดูจาก "เจตนาขณะทำสัญญา" หากมีเจตนาไม่ปฎิบัติตามสัญญาตั้งแต่แรก ทำสัญญาแบบส่งๆให้ตายใจ เช่นนี้เป็น ฉ้อโกง ต้องดูการกระทำของบุคคลนั้นเป็นเครื่องชี้เจตนา ในแต่ละคดีย่อมมีข้อเท็จจริงแตกต่างกันออกไป
ดังนั้นจากที่กล่าวมานี้ในมุมมองของผู้เขียนจึงมีความคิดเห็นว่า การกู้ยืมเงิน และ การฉ้อโกง มีความเหมือนกันตรงที่การได้เงินมา แต่รูปแบบการได้มาของทั้งคู่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ การกู้ยืมเงินจะได้มาโดยที่เราจะต้องทำสัญญาและการทำสัญญาก็ถือว่าเป็นสัญญาทางแพ่งอย่างหนึ่งที่อยู่ภายใต้หลักเจตนาและความประสงค์ของคู่สัญญาทางกฎหมาย ส่วนการฉ้อโกงจะได้มาด้วยการมีเจตนาที่จะหลอกคนอื่นตั้งแต่แรกเริ่มโดยจะแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกเพื่อเอาทรัพย์สินคนอื่นหรือทำให้คนอื่นทำ ถอน ทำลาย เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมาอาญามาตรา 341
Comments